เยือนเกาะลังกาวีดินแดนต้องคำสาป (ช่วงที่ 3) |
|
พ่อกับแม่พระนางมัสสุหรี มีอาชีพค้าขายทางเรือ ระหว่าง ภูเก็ตกับเกาะปีนัง จนกระทั่ง วันหนึ่งได้ตั้งท้อง และซินแสได้ทำนายทายทักว่า เด็กในท้องจะเป็นผู้หญิง ที่มีบุญญาธิการสูง เป็นคนดีที่เคารพแก่คนทั่วไป พ่อและแม่ของพระนางฯ เชื่อในคำทำนายของซินแส ประกอบกับการค้าขายที่ผ่านมา ไม่สามารถสร้าง ความร่ำรวย เหมือนคนอื่นๆเขา |
|
สาเหตุเพราะไม่มีเรือสำเภาเป็นของตนเอง |
|
ทำให้ทิ้งการควบคุมใบเรือและหางเสือ |
|
บนเกาะลังกาวีนั้น มีคนมาเลย์พื้นเมืองเดิม มีสุลต่านปกครองชาวประชา เหมือนรัฐอื่นๆในแถบคาบสมุทรมาลายู สามพ่อแม่ลูกจึงเดินทางเข้าไปก็ไม่ได้รับ การต้อนรับจากชนพื้นเมืองนัก จึงเดินทางไปยังใจกลางเกาะซึ่งเป็นป่ารกทึบ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของเรือนใกล้สุสานของพระนางมัสสุหรี) พ่อของเด็กหญิงมัสสุหรีจึงได้ตัดเอาไม้บริเวณนั้น สร้างกระท่อมเล็กๆ เพื่ออยู่อาศัย จนกระทั่งเกิดวิกฤติ ภัยแล้งอย่างหนัก ทั่วทั้งเกาะ ไม่มีน้ำ แม้แต่หยดเดียวบนเกาะแห่งนี้ |
|
ผู้คนเดือดร้อนไปทั่ว บ้างก็อพยพหนีไปที่อื่น
|
|
พ่อและแม่ พ่อจึงลงมือขุดเป็นบ่อน้ำ และเด็กหญิงมัสสุหรีขอให้พ่อไปแจ้ง ให้ชาวบ้านทราบและกล่าวว่าทุกคนในเกาะนี้ สามารถมาตักน้ำไปดื่มกินได้เลย ข่าวแพร่สะพัดไปทั่วเกาะ มีผู้คนมากมายเข้า ดื่มกินน้ำและนำกลับบ้าน โดยคุณสมบัติพิเศษของน้ำในบ่อแห่งนี้ เมื่อคนไข้นำไปดื่มกิน ก็จะหายจากโรคร้าย จึงลือกันว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ |
|
มัสสุรีนั้น เป็นเด็กที่ขยัน เด็กที่ดีของพ่อแม่ ช่วยเหลืองานบ้านงานเรือน ซื่อสัตย์ เชื่อฟังพ่อแม่ และที่สำคัญไม่เคยพูดโกหก ทุกวันเมื่อพ่อแม่กลับมา ถึงบ้าน มัสสุรีจะถือขันน้ำสำหรับพ่อ และแม่ดื่มเพื่อแก้กระหายในมือข้างขวา ส่วนมือข้างซ้ายมัสสุรีจะถือไม้เรียว สำหรับคอยรายงานว่าตนเองทำผิดอะไร หรือพ่อจะลงโทษหากพ่อไปได้ยินใครเขาฟ้องอะไรพ่อ ซึ่งเป็นที่ร่ำลือของชาวบ้าน |
|
ยามใดที่มีคนยาก หรือขอทานผ่านมา มักจะชวนเข้าบ้าน พูดคุยด้วย ให้ทาน เป็นน้ำข้าวปลาอาหารสม่ำเสมอ จนกระทั่งโตเป็นสาว ก็มีรูปสวย งามที่สุดบนเกาะลังกาวี จนในที่สุดความงามและความมีน้ำใจของหญิงไทยผู้นี้ ดังกระฉ่อนไปถึงหูของ "วันดารุส" โอรสของสุลต่านผู้ซึ่งปกครองเกาะลังกาวีแห่งนี้ ด้วยความสนพระทัย วันดารุสจึงปลอมตัวเป็นขอทาน มาขอข้าวขอน้ำที่หน้าบ้านของพระนางมัสสุหรี |
|
ก็เช่นกัน มัตสุหรีก็ต้อนรับขับสู้ เอาน้ำ เอาข้าวปลามาให้สุลต่านในคราบขอทาน จึงเป็นที่พอพระทัยอย่างยิ่ง วันดารุสทำอย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า จนทั้งสองเกิดความรักซึ่งกันและกัน โดยที่พระนางมัสสุรี ไม่ล่วงรู้เลยว่า ผู้ชายที่ตนกำลังหลงรักอยู่นั้นคือ รัชทายาทผู้ปกครองเกาะลังกาวี วัน ดารุสตัดสินใจบอกกับพระมารดาว่า พบหญิงที่รัก หญิงที่ชอบ และคิดว่าเหมาะสมกับตนแล้ว อยากแต่งงานมีครอบครัวเสียที ขอให้พระมารดาช่วยไปสู่ขอ |
|
พระมารดาดีใจมาก เพราะอยากให้ลูกเป็นฝั่งเป็นฝาและพระมารดาได้ถามว่า "เธอคนนั้นเป็นลูกเต้าหรือเชื้อพระวงศ์ที่ไหน" วันดารุสเล่าความตามที่เตรียมไว้ และเมื่อพระมารดาทราบว่า เธอเป็นหญิงสาว ลูกชาวบ้าน แถมเป็นคนไทยที่อพยพมาจากภูเก็ต ไม่มีหัวนอนปลายเท้า พระมารดาก็ออกปากปฏิเสธทันที เพราะ เธอเป็นคนไทย หรือเพราะเหตุใด... |
|
ในที่สุดเจ้าชายวันดารุส จึงใช้วิธี ยื่นคำขาดกับพระมารดา โดยหากพระมารดาไม่ดำเนินการไปสู่ขอ พระนางมัสสุรีตามความต้องการของตน (หลักศาสนาอิสลาม ผู้ปกครองต้องเป็นผู้สู่ขอให้) มิเช่นนั้น ตนจะปลิดชีพตนเอง |
|
ด้วยความรักลูก พระมารดากลัวลูกชายจะฆ่าตัวตาย จึงยินยอมไปสู่ขอพระนางมัสสุหรีแต่โดยดี แต่ในใจนั้น ผูกพยาบาทโกรธพระนางมัสสุหรียิ่งนัก จึงคิดหวังจะกำจัดพระนางฯเมื่อสบโอกาส |
เมื่อคณะทัวร์น้ำหมาก ได้ยินเสียงเพลง ลอยกระทง จากคณะดนตรีพื้นเมือง ที่บ้านพระนางมัสสุหรี เพื่อต้อนรับพวกเรา ......(ดนตรี) วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำนองเต็มตลิ่ง เราทั้งหลายชายหญิง สนุกกันจริง วันลอยกระทง ลอย ลอยกระทง ลอย ลอยกระทง ลอยกระทงกันแล้ว ขอเชิญน้องแก้วออกมารำวง รำวงวันลอยกระทง รำวงวันลอยกระทง บุญจะส่งให้เราสุขใจ บุญจะส่งให้เราสุขใจ(ดนตรี).... |
|
ช่วงที่ 4 พระนางมัสสุหรี ตอนจบ | |